วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พระเจ้าตากสิน...มหาราช จอมราชันย์

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือพระเจ้ากรุงธนบุรี  พระราชสมภพ ณ วันอาทิตย์  เดือน 5 ขึ้น 15 ค่ำ ปีขาล จุลศักราช 1096 ตรงกับวันที่ 17 เมษายน พ.2277 ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระนามเดิมว่า สิน(หลักฐานจีนเรียก  เซิ้นเชิ้น ชิน หรือ สินบิดาชื่อนายไหฮอง(หลักฐานจีนเรียก  เซิ่น หยง หรือ เซ่นยัง มาจากเมืองเฉาโจว แซ่แต้ เมื่อถึงเมืองไทยเปลี่ยนชื่อเป็น ยั้งเป็นนายอากรบ่อนเบี้ย  มีบรรดาศักดิ์เป็นขุนพัฒน์  มารดาชื่อ  นกเฮี้ยง ( ต่อมาได้สถาปนาขึ้นดำรงพระราชอิสริยยศเป็นกรมพระเทพามาตย์  หลักฐานจีนเรียก ลั่วยั้ง หรือนางนกยางตั้งบ้านเรือนตรงหน้าบ้านเจ้าพระยาจักรีสมุหนายกครั้งนั้น
            เมื่อยังทรงพระเยาว์  เจ้าพระยาจักรีได้ขอเอาไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมและได้ตั้งชื่อว่า สิน พออายุได้ 9 ปี  เจ้าพระยาจักรีได้นำไปฝากให้เล่าเรียนหนังสืออยู่ในสำนักของอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส เรียนหนังสือขอมไทยจนจบบริบูรณ์ แล้วเรียนคัมภีร์พระไตรปิฏก
             ครั้นอายุได้ 13 ปี  เจ้าพระยาจักรีได้นำเข้าถวายตัวรับราชการเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบรมโกศ  รับราชการอยู่เวรหลวงนายศักดิ์ ระหว่างนี้ได้ศึกษาภาษาจีน ภาษาญวน ภาษาแขก จนสามารถพูดได้สามภาษาอย่างคล่องแคล่ว
            ครั้นอายุได้ 21 ปี  เจ้าพระยาจักรีได้จัดการอุปสมบทอยู่ในสำนักอาจารย์ทองดี ณ วัดโกษาวาส อุปสมบทอยู่ 3 พรรษา  แล้วจึงลาสิกขากลับเข้ารับราชการตามเดิม  ได้รับตำแหน่งเป็นมหาดเล็กรายงาน


            ในปี พ.2301  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต  พระที่นั่งสุริยามรินทร์ ( สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ )  ได้ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้เป็นข้าหลวงเชิญท้องตราขึ้นไปชำระความหัวเมืองฝ่ายเหนือ  ต่อมาจึงโปรดเกล้าฯ  ให้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตาก  (ในขณะที่รับราชการอยู่เมืองตากนั้น  ได้มีนายทองดี  เข้าราชการเป็นทหารคู่ใจ  ภายหลังพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาพิชัย)  ต่อมาเจ้าเมืองตากถึงแก่กรรมลง  จึงทรงโปรดให้เลื่อนขึ้นเป็น  พระยาตาก

            ในปี พ.2308  พม่าได้นำกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา  พระยาตากได้มาช่วยทำการสู้รบกับข้าศึกด้วยความเข้มแข็ง  มีความดีความชอบมาก  จึงโปรดให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น  พระยาวชิรปราการ  ผู้สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชร  แต่ยังมิทันได้ออกไปครองเมือง  ด้วยติดพันกับการทำศึกกับพม่าอยู่  ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้น  พระยาวชิรปราการ(สิน)  ทำการสู้รบอย่างเข้มแข็งและสามารถรบชนะพม่าหลายต่อหลายครั้งก็ตาม  แต่ก็มีสาเหตุที่ทำให้ท่านเกิดความท้อแท้ใจ  อันเกิดจากการอ่อนแแอของผู้บัญชาการและขาดการประสานงานที่ดีระหว่างแม่ทัพนายกองต่าง ๆ เช่น
        ครั้งแรก  พระยาตากคุมทหารออกไปรบนอกเมือง  และสามารถทำการรบมีชัย  ยึดค่ายจากพม่าได้  แต่ทางผู้รักษาพระนครไม่ส่งกำลังหนุนออกไปให้  พระยาตากต้องเสียค่ายคืนให้แก่ข้าศึกไป  จึงทำให้พระยาตากเสียกำลังใจในการทำงานเป็นอันมาก
         ครั้งที่สองพระยาตากได้รับบัญชาให้ยกทัพเรือออกไปรบพร้อมกับพระยาเพชรบุรี   ครั้นยกออกไปถึงแล้ว  พระยาตากเห็นว่าพม่ามีกำลังเหนือมากกว่านัก  จึงห้ามพระยาเพชรบุรีมิให้ออกรบ  แต่พระยาเพชรบุรีไม่เชื่อฟัง  ขืนออกรบจนได้  จึงพ่ายแพ้แก่ข้าศึกจนตัวตายในที่รบ พระยาตากจึงถูกกล่าวหาว่าทิ้งให้พระยาเพชรบุรีเป็นอันตราย
          ครั้งที่สาม  ก่อนเสียกรุงประมาณ 3 เดือน  พม่ายกเข้าปล้นพระนครทางด้านที่พระยาตากรักษาการณ์อยู่  พระยาตากเห็นเป็นการจวนตัว  จึงใช้ปืนใหญ่ยิงขัดขวาง  โดยมิทันได้ขออนุญาตจากศาลาลูกขุนเสียก่อน  จึงถูกฟ้องและถูกชำระโทษ  แต่หากที่พระยาตากได้ปฏิบัติราชการมีความชอบมากจึงได้รับการภาคทัณฑ์ไว้
            เมื่อพระยาวชิรปราการ (สิน)  เล็งเห็นว่าถึงแม้จะอยู่ช่วยรักษาพระนครต่อไปก็คงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด  พม่าก็ตั้งล้อมพระนครกระชั้นเข้ามาทุกขณะจนถึงคูพระนครแล้ว  กรุงศรีอยุธยาคงไม่พ้นเงื้อมมือพม่าเป็นแน่แท้  ไพร่ฟ้าข้าทหารในพระนครก็อิดโรยลงมาก  เนื่องจากขัดสนเสบียงอาหาร  ทหารไม่มีกำลังใจในการสู้รบ  ดังนั้นพระยาวชิรปราการ  (สิน)  จึงตัดสินใจร่วมกับพระยาพิชัยอาสา  พระเชียงเงิน  หลวงพรหมเสนา  หลวงราชเสน่หา  ขุนอภัยภักดี  และพรรคพวกรวม  500  คน  ยกกำลังออกจากค่ายวัดพิชัย  ตีฝ่าพม่าไปทางทิศตะวันออก  เวลาค่ำในวันเสาร์  เดือนยี่  ขึ้น 4 ค่ำ ปีจอ พ.2309  ตรงกับวันที่  3  มกราคม  ..  2309 
          ทัพพม่าได้ส่งทหารไล่ติดตามพระยาวชิรปราการ (สิน)และพรรคพวกมาทันกันในวันรุ่งขึ้นที่  บ้านโพธิ์สังหาร  พระยาวชิรปราการได้นำพลทหารไทยจีนเข้ารบกับทหารพม่าเป็นสามารถจนทหารพม่าแตกพ่ายไป  และยังได้ยึดเครื่องศาตราวุธอีกเป็นจำนวนมากแล้วออกเดินทางไปตั้งพักที่ บ้านพรานนก เพื่อหาเสบียงอาหาร  ระหว่างที่ทหารพระยาวชิรปราการหาเสบียงอาหารอยู่นั้น  ได้พบทัพพม่าจำนวนพลขี่ม้าประมาณ 30 ม้า  พลเดินเท้าประมาณ 2,000 คน  ยกทัพสวนทางมาจากบางคาง  เขวงเมืองปราจีนบุรี  เพื่อเข้ารวมพลตีกรุงศรีอยุธยาในโอกาสต่อไป  ทหารพระยาวชิรปราการจึงหนีกลับมาที่บ้านพรานนก  โดยมีทหารพม่าไล่ติดตามมาอย่างกระชั้นชิดและชะล่าใจ   พระยาวชิรปราการจึงให้ทหารซึ่งเป็นพลเดินเท้าแยกออกเป็นปีกกาเข้าตีโอบพม่าทั้งสองข้าง  ส่วนพระยาวชิรปราการกับทหารอีก 4 คน  ก็ขี่ม้าตรงเข้าไล่ฟันทหารพม่าซึ่งนำทัพมาอย่างไม่ทันรู้ตัวก็แตกร่นไปถึงพลเดินเท้า  พวกทหารพระยาวชิรปราการได้ทีเข้ารุกไล่ฆ่าฟันทหารพม่าจนแตกพ่ายไป  การชนะในครั้งนี้ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้ทหารพระยาวชิรปราการเป็นอย่างมากในโอกาสสู้รบกับพม่าในโอกาสต่อไป
          พวกราษฎรที่หลบซ่อนเร้นพม่าอยู่ได้ทราบกิติศัพท์การรบชนะของพระยาวชิรปราการ (สินต่อทหารพม่าต่างก็พากันมาขอเข้าเป็นพวก  และได้เป็นกำลังสำคัญในการเกลี้ยกล่อมผู้ที่ตั้งตัวเป็นหัวหน้านายซ่องต่าง ๆ มาอ่อนน้อม  ขุนชำนาญไพรสณฑ์และนายกองช้างเมืองนครนายกมีจิตสวามิภักดิ์  ได้นำเสบียงอาหารและช้างม้ามาให้เป็นกำลังเพิ่มขึ้น  ส่วนนายซ่องใหญ่ซึ่งมีค่ายคูยังทะนงตนไม่ยอมอ่อนน้อม  พระยาวชิรปราการก็คุมทหารไปปราบจนได้ชัยชนะ  แล้วจึงยกทัพผ่านเมืองนครนายกข้ามลำน้ำเมืองปราจีนบุรีไปตั้งพักที่ชายดงศรีมหาโพธิ์ข้างฟากตะวันตก
            ทหารพม่าเมื่อแตกพ่ายไปจากบ้านพรานนกแล้วก็กลับไปรายงานนายทัพที่ตั้งค่าย ณ ปากน้ำเจ้าโล้  เมืองฉะเชิงเทรา  ซึ่งกองทัพพม่ากองสุดท้ายที่รวบรวมกำลังกันตั้งทัพบก  ทัพเรือไปรอดักพระยาวชิรปราการอยู่ ณ ที่นั้น  และตามทัพพระยาวชิรปราการทันกันที่ชายทุ่ง  พระยาวชิรปราการเห็นว่าจะต่อสู้ข้าศึกซึ่ง ๆ หน้าไม่ได้  อีกทั้งมีกำลังน้อยกว่ายากที่จะเอาชนะแก่พม่าได้  จึงเลือกเอาชัยภูมิพงแขมเป็นที่กำบังแทนแนวค่าย  และแอบตั้งปืนใหญ่น้อยรายไว้หมายเฉพาะทางที่จะล่อพม่าเดินเข้ามา  แล้วพระยาวชิรปราการก็นำทหารประมาณ 100 คนเศษคอยรบพม่าที่ท้องทุ่ง  ครั้นเมื่อรบกันสักพักหนึ่งก็แกล้งทำเป็นถอยหนีหนีเข้าไปในช่องพงแขมที่ตั้งปืนใหญ่เตรียมไว้  ทหารพม่าหลงกลอุบายรุกไล่ตามเข้าไปก็ถูกทหารไทยระดมยิงและตีกระหนาบเข้ามาทางด้านหน้า ขวา และซ้าย จนทหารพม่าไม่มีทางจะต่อสู้ได้ต่อไปทำให้ทหารพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก  ที่รอดตายต่างถอยหนีอย่างไม่เป็นกระบวน  ก็ถูกพระยาวชิรปราการนำทหารไล่ติดตามฆ่าฟันล้มตายอีก  นับตั้งแต่นั้นมา  ทหารพม่าก็ไม่กล้าจะติดตามพระยาวชิรปราการอีกต่อไป
            เมื่อพระยาวชิรปราการ (สิน)  ได้ชัยชนะพม่าแล้วได้ยกทัพผ่านบ้านทองหลาง  พานทอง  บางปลาสร้อย  บ้านนาเกลือ  เขตเมืองชลบุรี  ต่างก็มีผู้คนเข้าร่วมสมทบมากขึ้น  จนมีรี้พลเป็นกองทัพ  จากนั้นพระยาวชิรปราการก็เดินทางไปเมืองระยอง  โดยหมายจะเอาเมืองระยองเป็นที่ตั้งมั่นต่อไป  ครั้นถึงเมืองระยอง  พระยาระนองชื่อบุญ เห็นกำลังพลของพระยาวชิรปราการมีจำนวนมากยากที่จะต้านทานได้จึงพากันออกมาต้อนรับ  พระยาวชิรปราการจึงตั้งค่ายที่ชานเมืองระยอง  ขณะนั้นพวกกรมการเมืองระยองหลายคนแข็งข้อคิดจะสู้รบ  จึงได้ยกกำลังเข้าปล้นค่ายในคืนวันที่สองในการหยุดพัก  แต่พระยาวชิรปราการรู้ตัวก่อนจึงได้ดับไฟในค่ายเสียไม่ให้โห่ร้องหรือยิงปืนตอบรอจนพวกกรมการเมืองเข้ามาได้ระยะทางปืน  พระยาวชิรปราการก็สั่งยิงปืนไปที่พวกที่จะแหกค่ายด้านวัดเนิน  พวกที่ตามหลังมาต่างก็ตกใจและถอยหนี  พระยาวชิรปราการคุมทหารติดตามไปเผาค่ายและยึดเมืองระยองได้ในคืนนั้น
            การที่พระยาวชิรปราการ (สินเข้าตีเมืองระยองได้และกรุงศรีอยุธยายังมิได้เสียทีแก่พม่าแต่ประการใด  จึงถือเสมือนเป็นผู้ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง  ดังนั้น  พระยาวชิรปราการก็ระวังตนมิได้คิดตั้งตัวเป็นกบฏ  และเรียกคำสั่งว่า “พระประศาสน์อย่างเจ้าเมืองเอก  พวกบริวารจึงเรียกว่า  พระยาตาก  ตั้งแต่นั้นมา
            เมื่อเจ้าตากตั้งตนเป็นอิสระที่เมืองระยอง  ส่วนเมืองอื่น ๆ ทางหัวเมืองชายทะเลตะวันออกนับตั้งแต่เมืองบางละมุง  เมืองชลบุรี  เมืองจันทบุรี  เมืองตราด ต่างก็ยังเป็นอิสระ  เจ้าตากจึงมีความคิดที่จะรวบรวมเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ไว้เป็นพวกเดียวกันเพื่อช่วยกันปราบปรามพม่าที่ล้อมกรุงศรีอยุธยา  และเล็งเห็นว่าเมืองจันทบุรีเป็นเมืองใหญ่กว่าหัวเมืองอื่น ๆ  มีเจ้าปกครองอยู่เป็นปกติมีกำลังคนและอาหารบริบูรณ์  ชัยภูมิก็เหมาะที่จะใช้เป็นที่ตั้งมั่นมากกว่าหัวเมืองใกล้เคียงทั้งหลาย  จึงแต่งทูตให้ถือศุภอักษรไปชักชวนเจ้าพระจันทบุรีช่วยกันปราบปรามข้าศึก  ในครั้งแรกก็ต้อนรับทูตโดยดีและรับว่าจะมาปรึกษาหารือกับเจ้าตากที่เมืองระยอง  ครั้นมือทูตกลับไปแล้ว  พระยาจันทบุรีกลับไม่ไว้ใจเจ้าตากเกรงจะถูกชิงเมืองจึงไม่ยอมไปพบ
เสียกรุง
ครั้นถึงเดือน 5 ปีกุน พ.2310  ข่าวกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.2310 แล้ว  ก็มีคนไทยที่มีสมัครพรรคพวกมากต่างก็ตั้งตัวเป็นใหญ่  พระยาจันทบุรียังไม่ยอมเป็นไมตรีกับเจ้าตาก  ส่วนขุนรามหมื่นซ่องกรมการเมืองระยองผู้หนึ่งที่เคยปล้นค่ายเจ้าตากก็ไปซ่องสุมผู้คนอยู่ที่เมืองแกลง  ซึ่งขณะนั้นขึ้นกับเมืองจันทบุรีและคอยปล้นชิงช้างม้าพาหนะเจ้าตาก  เจ้าตากจึงยกกำลังไปปราบ  ขุนรามหมื่นซ่องสู้ไม่ได้หนีไปอยู่กับพระยาจันทบุรี  ครั้นเจ้าตากจะยกพลติดตามไปก็พอดีได้ข่าวว่าทางเมืองชลบุรี  นายทองอยู่ นกเล็ก ตั้งตนเป็นใหญ่  ผู้ใดจะมาเข้ากับเจ้าตากนายทองอยู่ นกเล็กก็จะยึดเอาไว้เสีย  เจ้าตากจึงรีบยกทัพไปเมืองชลบุรีแล้วส่งเพื่อนฝูงของนายทองอยู่ นกเล็กไปเกลี้ยกล่อม  นายทองอยู่นกเล็กเห็นจะสู้รบไม่ไหวจึงยอมอ่อนน้อม  เจ้าตากจึงตั้งนายทองอยู่นกเล็กเป็นพระยาอนุราฐบุรี  ตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองชลบุรี  แล้วก็เลิกทัพกลับ
            ฝ่ายพระยาจันทบุรีได้ปรึกษากับขุนรามหมื่นซ่องเห็นว่าจะรบพุ่งเอาชนะเจ้าตากซึ่งหน้าคงจะชนะยาก  ด้วยเจ้าตากมีฝีมือเข้มแข็งทั้งรี้พลก็ชำนาญศึก  จึงคิดอุบายจะโจมตีกองทัพเจ้าตากขณะกำลังข้ามแม่น้ำเข้าเมืองจันทบุรี  โดยนิมนต์พระสงฆ์ 4 รูป  เป็นทูตมาเชิญเจ้าตากไปตั้งที่เมืองจันทบุรี  แต่ในระหว่างเจ้าตากเดินทางจะเข้าเมืองจันทบุรีอยู่นั้น  ได้มีคนมาบอกให้เจ้าตากทราบกลอุบายนี้เสียก่อน  เจ้าตากจึงให้เลี้ยวกระบวนทัพไปตั้งที่ชายเมืองด้านเหนือบริเวณวัดแก้ว  ห่างประตูท่าช้างเมืองจันทบุรีประมาณ 5 เส้น  แล้วเชิญพระยาจันทบุรีมาหาเจ้าตากก่อนที่จะเข้าเมือง  แต่พระยาจันทบุรีไม่ยอมออกมาต้อนรับพร้อมกับระดมคนประจำรักษาหน้าที่เชิงเทิน
            เจ้าตากได้ทบทวนถึงสถานการณ์ต่าง    แล้วเห็นว่า  แม้ข้าศึกจะครั่นคร้ามฝีมือไม่กล้าโจมตีซึ่งหน้าก็ตาม  แต่ฝ่ายพระยาจันทบุรีมีจำนวนมากกว่า  ถ้าเจ้าตากล่าถอยไปเมื่อใด  ทัพจันทบุรีก็จะล้อมไล่ตีได้หลายทาง  เพราะไม่มีเสบียงอาหาร  เจ้าตากจึงตัดสินใจจะต้องเข้าตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้ให้ได้  และแสดงออกถึงน้ำใจอันเด็ดเดี่ยวโดยสั่งนายทัพนายกองว่า  “เราจะตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้  เมื่อกองทัพหุงข้าวเย็นกินเสร็จแล้ว  ทั้งนายไพร่ให้เททิ้งอาหารที่เหลือและต่อยหม้อเสียให้หมด  หมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันที่ในเมืองเอาพรุ่งนี้  ถ้าตีเอาเมืองไม่ได้ค่ำวันนี้ก็จะตายเสียด้วยกันให้หมดทีเดียว
          ครั้นได้ฤกษ์เวลา 3 นาฬิกา  เจ้าตากพร้อมด้วยทหารไทยจีนเข้าโจมตีเมืองจันทบุรีอย่างเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว   โดยเจ้าตากขี่ช้างพังคีรีบัญชรเข้าพังประตูเมืองได้สำเร็จ  พวกทหารก็กรูกันเข้าเมืองได้  ชาวเมืองต่างก็เสียขวัญละทิ้งหน้าที่แตกหนีไป  ส่วนพระยาจันทบุรีพาครอบครัวลงเรือหนีไปเมืองบันทายมาศ
            เมื่อเจ้าตากจัดเมืองจันทบุรีเรียบร้อยเเล้วก็ยกทัพบกทัพเรือลงไปเมืองตราด  พวกกรมการเมืองและราษฎรต่างยอมอ่อนน้อมโดยดี  แต่ยังมีพ่อค้าในสำเภาที่จอดอยู่ในปากน้ำเมืองตราดหลายลำไม่ยอมอ่อนน้อม  เจ้าตากได้ยกทัพเรือโจมตีสำเภาจีนได้ทั้งหมดในครึ่งวัน  และสามารถยึดทรัพย์สิ่งของได้เป็นจำนวนมาก  ซึ่งสามารถนำมาจัดเตรียมกองทัพเข้ากู้เอกราช
            เจ้าตากได้จัดการเมืองตราดเรียบร้อยก็ย่างเข้าฤดูฝนพอดี  จึงยกกองทัพกลับเมืองจันทบุรีเพื่อตระเตรียมกำลังคน  สะสมเสบียงอาหาร  อาวุธยุทธภัณฑ์   และต่อเรือรบได้ถึง 100 ลำ  รวบรวมกำลังคนเพิ่มได้อีกเป็นคนไทยจีนประมาณ 5,000 คนเศษ  กับมีข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาได้หลบหนีพม่ามาร่วมด้วยอีกหลายคน  และที่สำคัญก็คือหลวงศักดิ์นายเวรมหาดเล็ก  นายสุดจินดาหุ้มแพรมหาดเล็ก
            พอถึงเดือน 11 พ.2310  หลังสิ้นฤดูมรสุมแล้ว  เจ้าตากก็ยกกองทัพเรือจากเมืองจันทบุรีเพื่อมากอบกู้เอกราช  ระหว่างทางได้หยุดชำระความพระยาอนุราฐบุรีที่เมืองชลบุรี  ซึ่งประพฤติตัวเยี่ยงโจรเข้าตีปล้นเรือลูกค้า  ชำระได้เป็นความสัตย์จริง  จึงให้ประหารชีวิตพระยาอนุราฐบุรีเสีย  แล้วยกทัพเรือเข้าปากน้ำเจ้าพระยาในเดือน 12
            กองทัพเรือภายใต้การบังคับบัญชาของเจ้าตากได้เข้าโจมตีเมืองธนบุรีเป็นครั้งแรก  มีนายทองอินคนไทยที่พม่าตั้งให้รักษาเมืองอยู่  พอนายทองอินทราบข่าวว่าเจ้าตากยกกองทัพเรือเข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยาก็ให้คนขึ้นไปบอกข่าวแก่  สุกี้พระนายกองแม่ทัพพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น  แล้วเรียกระดมพลขึ้นรักษาป้อมวิชเยนทร์  และแท่นเชิงเทินกรุงธนบุรี  คอยที่จะต่อสู้กับกองทัพเรือของพระเจ้าตาก  ครั้นกองทัพเรือเจ้าตากเดินทางมาถึง  รี้พลที่รักษาเมืองธนบุรีกลับไม่มีใจสู้รบเพราะเห็นเป็นคนไทยด้วยกันเอง  ดังนั้นกองทัพเรือของเจ้าตากเข้ารบพุ่งเพียงเล็กน้อยก็สามารถตีเมืองธนบุรีได้  เจ้าตากให้ประหารชีวิตนายทองอินเสียแล้วเร่งยกกองทัพเรือไปตีกรุงศรีอยุธยา


            สุกี้แม่ทัพพม่าได้ข่าวเจ้าตากตีเมืองธนบุรีได้แล้ว   ก็ส่งมองญ่านายทัพรองคุมพลซึ่งเป็นมอญและไทยยกกองทัพเรือไปสกัดกองทัพเรือเจ้าตากอยู่ที่เพนียด  เจ้าตากยกกองทัพเรือขึ้นไปถึงกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลาค่ำ  สืบทราบว่ามีกองทัพข้าศึกยกมาตั้งรับคอยอยู่ที่เพนียดไม่ทราบว่ามีกำลังเท่าใด  ฝ่ายพวกคนไทยที่ถูกเกณฑ์มาในกองทัพมองญ่ารู้ว่ากองทัพเรือที่ยกมานั้นเป็นคนไทยด้วยกัน  ก็คิดจะหลบหนีบ้างจะหาโอกาสเข้าร่วมกับเจ้าตากบ้าง  มองญ่าเห็นพวกคนไทยไม่เป็นอันจะต่อสู้เกรงว่าจะพากันกบฏขึ้น  จึงรีบกลับไปค่ายโพธิ์สามต้นในคืนนั้น
            เจ้าตากทราบจากพวกคนไทยที่หนีพม่ามาเข้าด้วยว่า  พม่าถอยหนีจากเพนียดหมดแล้ว  ก็รีบยกกองทัพขึ้นไปตีค่ายพม่าที่โพธิ์สามต้น 2 ค่ายพร้อมกันในตอนเช้า  สู้รบกันจนเที่ยงเจ้าตากก็เข้าค่ายพม่าได้  สุกี้ตายในที่รบ  จึงถือว่า  เจ้าตากได้กอบกู้เอกราชชาติไทยกลับคืนมาได้แล้ว  หลังจากที่ไทยได้สูญเสียเอกราชในครั้งนี้เพียง 7 เดือน
          เมื่อเจ้าตากมีชัยชนะพม่าแล้ว  ได้ตั้งพักกองทัพอยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้นเพื่อจัดการบ้านเมือง  บรรดาเจ้านายที่ถูกพม่าจับตัวไว้แต่ยังไม่ถูกส่งไปพม่า  เจ้าตากก็จัดที่ให้ประทับตามสมควร  และปลดปล่อยผู้ที่พม่าคุมขังไว้เป็นอิสระ  พร้อมทั้งแจกจ่ายทรัพย์สิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคด้วยทั่วหน้ากัน  แล้วให้ขุดพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์มาตั้งการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอย่างสมพระเกียรติ  แล้วคิดจะปฏิสังขรณ์กรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานีใหม่  แต่เมื่อได้ตรวจความเสียหายแล้วเห็นว่า  กรุงศรีอยุธยาได้รับความเสียหายเป็นอันมาก  ยากที่จะบูรณะให้เหมือนดังเดิมได้  และประกอบกับรี้พลเจ้าตากมีไม่พอที่จะรักษากรุงศรีอยุธยาที่เป็นเมืองใหญ่ได้  จึงเลือกเมืองธนบุรีเป็นราชธานี  และได้อพยพผู้คนลงมาตั้งมั่นที่กรุงธนบุรี  เรียกนามเมืองใหม่ว่า  “กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร
          ข้าราชการไทยทั้งปวงจึงพร้อมกันอัญเชิญพระองค์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน  เมื่อวันอังคาร  เดือนอ้าย  แรม 4 ค่ำ  จุลศักราช 1130  ปีชวด  สัมฤทธิศก  ตรงกับวันที่ 28 ธันวาคม  .2311  ขณะเมื่อพระชนมายุได้  34  พรรษา  ทรงพระนามว่า  สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์หรือสมเด็จพระบรมราชาที่ 4  แต่ประชาชนทั่วไปขนานนามพระองค์ว่า  สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี  หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น