สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
หรือพระเจ้ากรุงธนบุรี พระราชสมภพ ณ วันอาทิตย์ เดือน 5 ขึ้น 15 ค่ำ ปีขาล
จุลศักราช 1096 ตรงกับวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2277
ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระนามเดิมว่า สิน(หลักฐานจีนเรียก
เซิ้นเชิ้น ชิน หรือ สิน) บิดาชื่อนายไหฮอง(หลักฐานจีนเรียก
เซิ่น หยง หรือ เซ่นยัง
มาจากเมืองเฉาโจว แซ่แต้ เมื่อถึงเมืองไทยเปลี่ยนชื่อเป็น ยั้ง) เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย
มีบรรดาศักดิ์เป็นขุนพัฒน์
มารดาชื่อ
นกเฮี้ยง ( ต่อมาได้สถาปนาขึ้นดำรงพระราชอิสริยยศเป็นกรมพระเทพามาตย์
หลักฐานจีนเรียก ลั่วยั้ง
หรือนางนกยาง) ตั้งบ้านเรือนตรงหน้าบ้านเจ้าพระยาจักรีสมุหนายกครั้งนั้น
เมื่อยังทรงพระเยาว์ เจ้าพระยาจักรีได้ขอเอาไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมและได้ตั้งชื่อว่า
สิน พออายุได้ 9 ปี เจ้าพระยาจักรีได้นำไปฝากให้เล่าเรียนหนังสืออยู่ในสำนักของอาจารย์ทองดี
วัดโกษาวาส เรียนหนังสือขอมไทยจนจบบริบูรณ์ แล้วเรียนคัมภีร์พระไตรปิฏก
ครั้นอายุได้ 13 ปี
เจ้าพระยาจักรีได้นำเข้าถวายตัวรับราชการเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบรมโกศ
รับราชการอยู่เวรหลวงนายศักดิ์
ระหว่างนี้ได้ศึกษาภาษาจีน ภาษาญวน ภาษาแขก จนสามารถพูดได้สามภาษาอย่างคล่องแคล่ว
ครั้นอายุได้ 21 ปี
เจ้าพระยาจักรีได้จัดการอุปสมบทอยู่ในสำนักอาจารย์ทองดี ณ วัดโกษาวาส
อุปสมบทอยู่ 3 พรรษา แล้วจึงลาสิกขากลับเข้ารับราชการตามเดิม
ได้รับตำแหน่งเป็นมหาดเล็กรายงาน
ในปี พ.ศ. 2301
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต
พระที่นั่งสุริยามรินทร์ ( สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ) ได้ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เป็นข้าหลวงเชิญท้องตราขึ้นไปชำระความหัวเมืองฝ่ายเหนือ
ต่อมาจึงโปรดเกล้าฯ
ให้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตาก (ในขณะที่รับราชการอยู่เมืองตากนั้น
ได้มีนายทองดี
เข้าราชการเป็นทหารคู่ใจ
ภายหลังพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาพิชัย) ต่อมาเจ้าเมืองตากถึงแก่กรรมลง
จึงทรงโปรดให้เลื่อนขึ้นเป็น
พระยาตาก
ในปี พ.ศ. 2308
พม่าได้นำกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา
พระยาตากได้มาช่วยทำการสู้รบกับข้าศึกด้วยความเข้มแข็ง
มีความดีความชอบมาก
จึงโปรดให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น
พระยาวชิรปราการ
ผู้สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชร
แต่ยังมิทันได้ออกไปครองเมือง
ด้วยติดพันกับการทำศึกกับพม่าอยู่
ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้น
พระยาวชิรปราการ(สิน) ทำการสู้รบอย่างเข้มแข็งและสามารถรบชนะพม่าหลายต่อหลายครั้งก็ตาม
แต่ก็มีสาเหตุที่ทำให้ท่านเกิดความท้อแท้ใจ
อันเกิดจากการอ่อนแแอของผู้บัญชาการและขาดการประสานงานที่ดีระหว่างแม่ทัพนายกองต่าง
ๆ เช่น
ครั้งแรก พระยาตากคุมทหารออกไปรบนอกเมือง
และสามารถทำการรบมีชัย
ยึดค่ายจากพม่าได้
แต่ทางผู้รักษาพระนครไม่ส่งกำลังหนุนออกไปให้
พระยาตากต้องเสียค่ายคืนให้แก่ข้าศึกไป
จึงทำให้พระยาตากเสียกำลังใจในการทำงานเป็นอันมาก
ครั้งที่สองพระยาตากได้รับบัญชาให้ยกทัพเรือออกไปรบพร้อมกับพระยาเพชรบุรี
ครั้นยกออกไปถึงแล้ว
พระยาตากเห็นว่าพม่ามีกำลังเหนือมากกว่านัก
จึงห้ามพระยาเพชรบุรีมิให้ออกรบ
แต่พระยาเพชรบุรีไม่เชื่อฟัง
ขืนออกรบจนได้
จึงพ่ายแพ้แก่ข้าศึกจนตัวตายในที่รบ
พระยาตากจึงถูกกล่าวหาว่าทิ้งให้พระยาเพชรบุรีเป็นอันตราย
ครั้งที่สาม ก่อนเสียกรุงประมาณ 3 เดือน
พม่ายกเข้าปล้นพระนครทางด้านที่พระยาตากรักษาการณ์อยู่
พระยาตากเห็นเป็นการจวนตัว
จึงใช้ปืนใหญ่ยิงขัดขวาง
โดยมิทันได้ขออนุญาตจากศาลาลูกขุนเสียก่อน
จึงถูกฟ้องและถูกชำระโทษ
แต่หากที่พระยาตากได้ปฏิบัติราชการมีความชอบมากจึงได้รับการภาคทัณฑ์ไว้
เมื่อพระยาวชิรปราการ (สิน) เล็งเห็นว่าถึงแม้จะอยู่ช่วยรักษาพระนครต่อไปก็คงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด
พม่าก็ตั้งล้อมพระนครกระชั้นเข้ามาทุกขณะจนถึงคูพระนครแล้ว
กรุงศรีอยุธยาคงไม่พ้นเงื้อมมือพม่าเป็นแน่แท้
ไพร่ฟ้าข้าทหารในพระนครก็อิดโรยลงมาก
เนื่องจากขัดสนเสบียงอาหาร
ทหารไม่มีกำลังใจในการสู้รบ
ดังนั้นพระยาวชิรปราการ (สิน) จึงตัดสินใจร่วมกับพระยาพิชัยอาสา
พระเชียงเงิน
หลวงพรหมเสนา
หลวงราชเสน่หา
ขุนอภัยภักดี
และพรรคพวกรวม
500
คน
ยกกำลังออกจากค่ายวัดพิชัย
ตีฝ่าพม่าไปทางทิศตะวันออก
เวลาค่ำในวันเสาร์
เดือนยี่
ขึ้น 4 ค่ำ ปีจอ พ.ศ. 2309
ตรงกับวันที่
3
มกราคม
พ.ศ. 2309
ทัพพม่าได้ส่งทหารไล่ติดตามพระยาวชิรปราการ (สิน)และพรรคพวกมาทันกันในวันรุ่งขึ้นที่
บ้านโพธิ์สังหาร
พระยาวชิรปราการได้นำพลทหารไทยจีนเข้ารบกับทหารพม่าเป็นสามารถจนทหารพม่าแตกพ่ายไป
และยังได้ยึดเครื่องศาตราวุธอีกเป็นจำนวนมากแล้วออกเดินทางไปตั้งพักที่
บ้านพรานนก เพื่อหาเสบียงอาหาร ระหว่างที่ทหารพระยาวชิรปราการหาเสบียงอาหารอยู่นั้น
ได้พบทัพพม่าจำนวนพลขี่ม้าประมาณ
30 ม้า พลเดินเท้าประมาณ 2,000 คน ยกทัพสวนทางมาจากบางคาง เขวงเมืองปราจีนบุรี
เพื่อเข้ารวมพลตีกรุงศรีอยุธยาในโอกาสต่อไป
ทหารพระยาวชิรปราการจึงหนีกลับมาที่บ้านพรานนก
โดยมีทหารพม่าไล่ติดตามมาอย่างกระชั้นชิดและชะล่าใจ
พระยาวชิรปราการจึงให้ทหารซึ่งเป็นพลเดินเท้าแยกออกเป็นปีกกาเข้าตีโอบพม่าทั้งสองข้าง
ส่วนพระยาวชิรปราการกับทหารอีก
4 คน ก็ขี่ม้าตรงเข้าไล่ฟันทหารพม่าซึ่งนำทัพมาอย่างไม่ทันรู้ตัวก็แตกร่นไปถึงพลเดินเท้า
พวกทหารพระยาวชิรปราการได้ทีเข้ารุกไล่ฆ่าฟันทหารพม่าจนแตกพ่ายไป การชนะในครั้งนี้ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้ทหารพระยาวชิรปราการเป็นอย่างมากในโอกาสสู้รบกับพม่าในโอกาสต่อไป
พวกราษฎรที่หลบซ่อนเร้นพม่าอยู่ได้ทราบกิติศัพท์การรบชนะของพระยาวชิรปราการ (สิน) ต่อทหารพม่าต่างก็พากันมาขอเข้าเป็นพวก
และได้เป็นกำลังสำคัญในการเกลี้ยกล่อมผู้ที่ตั้งตัวเป็นหัวหน้านายซ่องต่าง
ๆ มาอ่อนน้อม ขุนชำนาญไพรสณฑ์และนายกองช้างเมืองนครนายกมีจิตสวามิภักดิ์ ได้นำเสบียงอาหารและช้างม้ามาให้เป็นกำลังเพิ่มขึ้น
ส่วนนายซ่องใหญ่ซึ่งมีค่ายคูยังทะนงตนไม่ยอมอ่อนน้อม
พระยาวชิรปราการก็คุมทหารไปปราบจนได้ชัยชนะ
แล้วจึงยกทัพผ่านเมืองนครนายกข้ามลำน้ำเมืองปราจีนบุรีไปตั้งพักที่ชายดงศรีมหาโพธิ์ข้างฟากตะวันตก
ทหารพม่าเมื่อแตกพ่ายไปจากบ้านพรานนกแล้วก็กลับไปรายงานนายทัพที่ตั้งค่าย
ณ ปากน้ำเจ้าโล้ เมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งกองทัพพม่ากองสุดท้ายที่รวบรวมกำลังกันตั้งทัพบก
ทัพเรือไปรอดักพระยาวชิรปราการอยู่
ณ ที่นั้น และตามทัพพระยาวชิรปราการทันกันที่ชายทุ่ง
พระยาวชิรปราการเห็นว่าจะต่อสู้ข้าศึกซึ่ง
ๆ หน้าไม่ได้ อีกทั้งมีกำลังน้อยกว่ายากที่จะเอาชนะแก่พม่าได้
จึงเลือกเอาชัยภูมิพงแขมเป็นที่กำบังแทนแนวค่าย และแอบตั้งปืนใหญ่น้อยรายไว้หมายเฉพาะทางที่จะล่อพม่าเดินเข้ามา
แล้วพระยาวชิรปราการก็นำทหารประมาณ
100 คนเศษคอยรบพม่าที่ท้องทุ่ง
ครั้นเมื่อรบกันสักพักหนึ่งก็แกล้งทำเป็นถอยหนีหนีเข้าไปในช่องพงแขมที่ตั้งปืนใหญ่เตรียมไว้ ทหารพม่าหลงกลอุบายรุกไล่ตามเข้าไปก็ถูกทหารไทยระดมยิงและตีกระหนาบเข้ามาทางด้านหน้า
ขวา และซ้าย จนทหารพม่าไม่มีทางจะต่อสู้ได้ต่อไปทำให้ทหารพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก
ที่รอดตายต่างถอยหนีอย่างไม่เป็นกระบวน ก็ถูกพระยาวชิรปราการนำทหารไล่ติดตามฆ่าฟันล้มตายอีก
นับตั้งแต่นั้นมา ทหารพม่าก็ไม่กล้าจะติดตามพระยาวชิรปราการอีกต่อไป
เมื่อพระยาวชิรปราการ (สิน) ได้ชัยชนะพม่าแล้วได้ยกทัพผ่านบ้านทองหลาง
พานทอง
บางปลาสร้อย
บ้านนาเกลือ
เขตเมืองชลบุรี
ต่างก็มีผู้คนเข้าร่วมสมทบมากขึ้น
จนมีรี้พลเป็นกองทัพ
จากนั้นพระยาวชิรปราการก็เดินทางไปเมืองระยอง
โดยหมายจะเอาเมืองระยองเป็นที่ตั้งมั่นต่อไป
ครั้นถึงเมืองระยอง
พระยาระนองชื่อบุญ
เห็นกำลังพลของพระยาวชิรปราการมีจำนวนมากยากที่จะต้านทานได้จึงพากันออกมาต้อนรับ
พระยาวชิรปราการจึงตั้งค่ายที่ชานเมืองระยอง
ขณะนั้นพวกกรมการเมืองระยองหลายคนแข็งข้อคิดจะสู้รบ
จึงได้ยกกำลังเข้าปล้นค่ายในคืนวันที่สองในการหยุดพัก
แต่พระยาวชิรปราการรู้ตัวก่อนจึงได้ดับไฟในค่ายเสียไม่ให้โห่ร้องหรือยิงปืนตอบรอจนพวกกรมการเมืองเข้ามาได้ระยะทางปืน
พระยาวชิรปราการก็สั่งยิงปืนไปที่พวกที่จะแหกค่ายด้านวัดเนิน
พวกที่ตามหลังมาต่างก็ตกใจและถอยหนี
พระยาวชิรปราการคุมทหารติดตามไปเผาค่ายและยึดเมืองระยองได้ในคืนนั้น
การที่พระยาวชิรปราการ (สิน) เข้าตีเมืองระยองได้และกรุงศรีอยุธยายังมิได้เสียทีแก่พม่าแต่ประการใด
จึงถือเสมือนเป็นผู้ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง
ดังนั้น
พระยาวชิรปราการก็ระวังตนมิได้คิดตั้งตัวเป็นกบฏ
และเรียกคำสั่งว่า “พระประศาสน์”อย่างเจ้าเมืองเอก
พวกบริวารจึงเรียกว่า
พระยาตาก
ตั้งแต่นั้นมา
เมื่อเจ้าตากตั้งตนเป็นอิสระที่เมืองระยอง
ส่วนเมืองอื่น ๆ
ทางหัวเมืองชายทะเลตะวันออกนับตั้งแต่เมืองบางละมุง เมืองชลบุรี
เมืองจันทบุรี
เมืองตราด
ต่างก็ยังเป็นอิสระ เจ้าตากจึงมีความคิดที่จะรวบรวมเมืองต่าง ๆ
เหล่านี้ไว้เป็นพวกเดียวกันเพื่อช่วยกันปราบปรามพม่าที่ล้อมกรุงศรีอยุธยา
และเล็งเห็นว่าเมืองจันทบุรีเป็นเมืองใหญ่กว่าหัวเมืองอื่น
ๆ มีเจ้าปกครองอยู่เป็นปกติมีกำลังคนและอาหารบริบูรณ์
ชัยภูมิก็เหมาะที่จะใช้เป็นที่ตั้งมั่นมากกว่าหัวเมืองใกล้เคียงทั้งหลาย
จึงแต่งทูตให้ถือศุภอักษรไปชักชวนเจ้าพระจันทบุรีช่วยกันปราบปรามข้าศึก
ในครั้งแรกก็ต้อนรับทูตโดยดีและรับว่าจะมาปรึกษาหารือกับเจ้าตากที่เมืองระยอง
ครั้นมือทูตกลับไปแล้ว
พระยาจันทบุรีกลับไม่ไว้ใจเจ้าตากเกรงจะถูกชิงเมืองจึงไม่ยอมไปพบ
เสียกรุง
ครั้นถึงเดือน 5 ปีกุน พ.ศ. 2310
ข่าวกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อวันที่
7 เมษายน พ.ศ. 2310 แล้ว
ก็มีคนไทยที่มีสมัครพรรคพวกมากต่างก็ตั้งตัวเป็นใหญ่
พระยาจันทบุรียังไม่ยอมเป็นไมตรีกับเจ้าตาก
ส่วนขุนรามหมื่นซ่องกรมการเมืองระยองผู้หนึ่งที่เคยปล้นค่ายเจ้าตากก็ไปซ่องสุมผู้คนอยู่ที่เมืองแกลง
ซึ่งขณะนั้นขึ้นกับเมืองจันทบุรีและคอยปล้นชิงช้างม้าพาหนะเจ้าตาก
เจ้าตากจึงยกกำลังไปปราบ
ขุนรามหมื่นซ่องสู้ไม่ได้หนีไปอยู่กับพระยาจันทบุรี
ครั้นเจ้าตากจะยกพลติดตามไปก็พอดีได้ข่าวว่าทางเมืองชลบุรี
นายทองอยู่ นกเล็ก
ตั้งตนเป็นใหญ่ ผู้ใดจะมาเข้ากับเจ้าตากนายทองอยู่ นกเล็กก็จะยึดเอาไว้เสีย
เจ้าตากจึงรีบยกทัพไปเมืองชลบุรีแล้วส่งเพื่อนฝูงของนายทองอยู่
นกเล็กไปเกลี้ยกล่อม นายทองอยู่นกเล็กเห็นจะสู้รบไม่ไหวจึงยอมอ่อนน้อม
เจ้าตากจึงตั้งนายทองอยู่นกเล็กเป็นพระยาอนุราฐบุรี
ตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองชลบุรี
แล้วก็เลิกทัพกลับ
ฝ่ายพระยาจันทบุรีได้ปรึกษากับขุนรามหมื่นซ่องเห็นว่าจะรบพุ่งเอาชนะเจ้าตากซึ่งหน้าคงจะชนะยาก
ด้วยเจ้าตากมีฝีมือเข้มแข็งทั้งรี้พลก็ชำนาญศึก
จึงคิดอุบายจะโจมตีกองทัพเจ้าตากขณะกำลังข้ามแม่น้ำเข้าเมืองจันทบุรี
โดยนิมนต์พระสงฆ์ 4 รูป
เป็นทูตมาเชิญเจ้าตากไปตั้งที่เมืองจันทบุรี
แต่ในระหว่างเจ้าตากเดินทางจะเข้าเมืองจันทบุรีอยู่นั้น
ได้มีคนมาบอกให้เจ้าตากทราบกลอุบายนี้เสียก่อน
เจ้าตากจึงให้เลี้ยวกระบวนทัพไปตั้งที่ชายเมืองด้านเหนือบริเวณวัดแก้ว
ห่างประตูท่าช้างเมืองจันทบุรีประมาณ
5 เส้น แล้วเชิญพระยาจันทบุรีมาหาเจ้าตากก่อนที่จะเข้าเมือง
แต่พระยาจันทบุรีไม่ยอมออกมาต้อนรับพร้อมกับระดมคนประจำรักษาหน้าที่เชิงเทิน
เจ้าตากได้ทบทวนถึงสถานการณ์ต่าง
ๆ
แล้วเห็นว่า
แม้ข้าศึกจะครั่นคร้ามฝีมือไม่กล้าโจมตีซึ่งหน้าก็ตาม
แต่ฝ่ายพระยาจันทบุรีมีจำนวนมากกว่า
ถ้าเจ้าตากล่าถอยไปเมื่อใด
ทัพจันทบุรีก็จะล้อมไล่ตีได้หลายทาง
เพราะไม่มีเสบียงอาหาร
เจ้าตากจึงตัดสินใจจะต้องเข้าตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้ให้ได้
และแสดงออกถึงน้ำใจอันเด็ดเดี่ยวโดยสั่งนายทัพนายกองว่า “เราจะตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้
เมื่อกองทัพหุงข้าวเย็นกินเสร็จแล้ว ทั้งนายไพร่ให้เททิ้งอาหารที่เหลือและต่อยหม้อเสียให้หมด
หมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันที่ในเมืองเอาพรุ่งนี้
ถ้าตีเอาเมืองไม่ได้ค่ำวันนี้ก็จะตายเสียด้วยกันให้หมดทีเดียว”
ครั้นได้ฤกษ์เวลา 3 นาฬิกา
เจ้าตากพร้อมด้วยทหารไทยจีนเข้าโจมตีเมืองจันทบุรีอย่างเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว
โดยเจ้าตากขี่ช้างพังคีรีบัญชรเข้าพังประตูเมืองได้สำเร็จ
พวกทหารก็กรูกันเข้าเมืองได้
ชาวเมืองต่างก็เสียขวัญละทิ้งหน้าที่แตกหนีไป
ส่วนพระยาจันทบุรีพาครอบครัวลงเรือหนีไปเมืองบันทายมาศ
เมื่อเจ้าตากจัดเมืองจันทบุรีเรียบร้อยเเล้วก็ยกทัพบกทัพเรือลงไปเมืองตราด
พวกกรมการเมืองและราษฎรต่างยอมอ่อนน้อมโดยดี
แต่ยังมีพ่อค้าในสำเภาที่จอดอยู่ในปากน้ำเมืองตราดหลายลำไม่ยอมอ่อนน้อม
เจ้าตากได้ยกทัพเรือโจมตีสำเภาจีนได้ทั้งหมดในครึ่งวัน
และสามารถยึดทรัพย์สิ่งของได้เป็นจำนวนมาก
ซึ่งสามารถนำมาจัดเตรียมกองทัพเข้ากู้เอกราช
เจ้าตากได้จัดการเมืองตราดเรียบร้อยก็ย่างเข้าฤดูฝนพอดี
จึงยกกองทัพกลับเมืองจันทบุรีเพื่อตระเตรียมกำลังคน
สะสมเสบียงอาหาร
อาวุธยุทธภัณฑ์
และต่อเรือรบได้ถึง 100 ลำ
รวบรวมกำลังคนเพิ่มได้อีกเป็นคนไทยจีนประมาณ
5,000 คนเศษ
กับมีข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาได้หลบหนีพม่ามาร่วมด้วยอีกหลายคน
และที่สำคัญก็คือหลวงศักดิ์นายเวรมหาดเล็ก
นายสุดจินดาหุ้มแพรมหาดเล็ก
พอถึงเดือน 11 พ.ศ. 2310
หลังสิ้นฤดูมรสุมแล้ว
เจ้าตากก็ยกกองทัพเรือจากเมืองจันทบุรีเพื่อมากอบกู้เอกราช
ระหว่างทางได้หยุดชำระความพระยาอนุราฐบุรีที่เมืองชลบุรี
ซึ่งประพฤติตัวเยี่ยงโจรเข้าตีปล้นเรือลูกค้า
ชำระได้เป็นความสัตย์จริง
จึงให้ประหารชีวิตพระยาอนุราฐบุรีเสีย
แล้วยกทัพเรือเข้าปากน้ำเจ้าพระยาในเดือน
12
กองทัพเรือภายใต้การบังคับบัญชาของเจ้าตากได้เข้าโจมตีเมืองธนบุรีเป็นครั้งแรก
มีนายทองอินคนไทยที่พม่าตั้งให้รักษาเมืองอยู่
พอนายทองอินทราบข่าวว่าเจ้าตากยกกองทัพเรือเข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยาก็ให้คนขึ้นไปบอกข่าวแก่
สุกี้พระนายกองแม่ทัพพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น
แล้วเรียกระดมพลขึ้นรักษาป้อมวิชเยนทร์
และแท่นเชิงเทินกรุงธนบุรี
คอยที่จะต่อสู้กับกองทัพเรือของพระเจ้าตาก
ครั้นกองทัพเรือเจ้าตากเดินทางมาถึง
รี้พลที่รักษาเมืองธนบุรีกลับไม่มีใจสู้รบเพราะเห็นเป็นคนไทยด้วยกันเอง
ดังนั้นกองทัพเรือของเจ้าตากเข้ารบพุ่งเพียงเล็กน้อยก็สามารถตีเมืองธนบุรีได้
เจ้าตากให้ประหารชีวิตนายทองอินเสียแล้วเร่งยกกองทัพเรือไปตีกรุงศรีอยุธยา
สุกี้แม่ทัพพม่าได้ข่าวเจ้าตากตีเมืองธนบุรีได้แล้ว
ก็ส่งมองญ่านายทัพรองคุมพลซึ่งเป็นมอญและไทยยกกองทัพเรือไปสกัดกองทัพเรือเจ้าตากอยู่ที่เพนียด
เจ้าตากยกกองทัพเรือขึ้นไปถึงกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลาค่ำ
สืบทราบว่ามีกองทัพข้าศึกยกมาตั้งรับคอยอยู่ที่เพนียดไม่ทราบว่ามีกำลังเท่าใด
ฝ่ายพวกคนไทยที่ถูกเกณฑ์มาในกองทัพมองญ่ารู้ว่ากองทัพเรือที่ยกมานั้นเป็นคนไทยด้วยกัน
ก็คิดจะหลบหนีบ้างจะหาโอกาสเข้าร่วมกับเจ้าตากบ้าง
มองญ่าเห็นพวกคนไทยไม่เป็นอันจะต่อสู้เกรงว่าจะพากันกบฏขึ้น
จึงรีบกลับไปค่ายโพธิ์สามต้นในคืนนั้น
เจ้าตากทราบจากพวกคนไทยที่หนีพม่ามาเข้าด้วยว่า
พม่าถอยหนีจากเพนียดหมดแล้ว
ก็รีบยกกองทัพขึ้นไปตีค่ายพม่าที่โพธิ์สามต้น
2 ค่ายพร้อมกันในตอนเช้า สู้รบกันจนเที่ยงเจ้าตากก็เข้าค่ายพม่าได้
สุกี้ตายในที่รบ
จึงถือว่า
เจ้าตากได้กอบกู้เอกราชชาติไทยกลับคืนมาได้แล้ว
หลังจากที่ไทยได้สูญเสียเอกราชในครั้งนี้เพียง
7 เดือน
เมื่อเจ้าตากมีชัยชนะพม่าแล้ว
ได้ตั้งพักกองทัพอยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้นเพื่อจัดการบ้านเมือง
บรรดาเจ้านายที่ถูกพม่าจับตัวไว้แต่ยังไม่ถูกส่งไปพม่า
เจ้าตากก็จัดที่ให้ประทับตามสมควร
และปลดปล่อยผู้ที่พม่าคุมขังไว้เป็นอิสระ
พร้อมทั้งแจกจ่ายทรัพย์สิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคด้วยทั่วหน้ากัน
แล้วให้ขุดพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์มาตั้งการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอย่างสมพระเกียรติ
แล้วคิดจะปฏิสังขรณ์กรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานีใหม่
แต่เมื่อได้ตรวจความเสียหายแล้วเห็นว่า
กรุงศรีอยุธยาได้รับความเสียหายเป็นอันมาก ยากที่จะบูรณะให้เหมือนดังเดิมได้
และประกอบกับรี้พลเจ้าตากมีไม่พอที่จะรักษากรุงศรีอยุธยาที่เป็นเมืองใหญ่ได้
จึงเลือกเมืองธนบุรีเป็นราชธานี
และได้อพยพผู้คนลงมาตั้งมั่นที่กรุงธนบุรี
เรียกนามเมืองใหม่ว่า
“กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร”
ข้าราชการไทยทั้งปวงจึงพร้อมกันอัญเชิญพระองค์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
เมื่อวันอังคาร
เดือนอ้าย
แรม 4 ค่ำ
จุลศักราช 1130
ปีชวด
สัมฤทธิศก
ตรงกับวันที่ 28 ธันวาคม
พ.ศ. 2311
ขณะเมื่อพระชนมายุได้
34
พรรษา
ทรงพระนามว่า
สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์หรือสมเด็จพระบรมราชาที่
4 แต่ประชาชนทั่วไปขนานนามพระองค์ว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น