วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ผัดกะปิสะตอกุ้งสด

 สะตอ ผักพื้นบ้านของชาวปักษ์ใต้กับกลิ่นฉุนอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ก็เป็นที่นิยมนำมาประกอบอาหาร หรือจะรับประทานสดคู่กับอาหารต่าง ๆ ก็อร่อย วันนี้เราขอนำเสนอเมนูอาหารปักษ์ใต้สุดอร่อยกับสูตรผัดกะปิสะตอกุ้งสดยอดนิยมมาฝากให้ได้ลองทำรับประทานกันดู





 สิ่งที่ต้องเตรียม


           น้ำพริกแกงที่โขลกเตรียมไว้ 4 ช้อนโต๊ะ

           นำมันพืชสำหรับผัด

           กุ้งสดปอกเปลือกผ่าหลัง 100 กรัม

           หมูสับ 100 กรัม

           น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

           น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

           สะตอ แกะเปลือก 100 กรัม


 วิธีทำ

           ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ ใส่น้ำพริกแกงลงผัดจนหอม ใส่หมูสับ และกุ้งลงผัดจนสุก ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ และน้ำปลา 

           ใส่สะตอลงผัดจนสุก ตักใส่จาน พร้อมรับประทาน


  สิ่งที่ต้องเตรียม (น้ำพริกแกง)

            กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ

            หอมแดง 2 หัว

            กุ้งแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ

            กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ

            พริกขี้หนู 10-15 เม็ด

 วิธีทำ
           โขลกกระเทียมกับหอมแดง และกุ้งแห้งจนละเอียด จากนั้นใส่กะปิ และพริกขี้หนูลงโขลกให้เข้ากัน เตรียมไว้

           ถึงสะตอจะเหม็นเขียวไปสักนิดแต่ถ้าได้ลองรับประทานผัดสะตอกุ้งสดจานนี้กับข้าวสวยเข้าไปแล้วล่ะก็ คุณจะลืมความเหม็นเขียวคงเหลือไว้แต่ความอร่อยเลยล่ะ

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คุณค่าและความสุขของการมีชีวิตเพื่อผู้อื่น

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน 

แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ 

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี 

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ 

ของฉันมีกัน 

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง 

พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง 

โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน 

"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด 

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน 

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า 

"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ" 

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น 

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า 

"ผมขโมยเองครับ" 

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง 

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด 

จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย 

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ 

และด่าว่าน้องชายของฉัน 

" ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก 

แกน่าจะโดนตีให้ตาย คุณหัวขโมย" 

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ 

หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด 

แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย 

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก 

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า 

" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ 

ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ 

หลายปีผ่านไป 

แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง 

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย 

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี... 

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น 

เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน 

ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย 

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน 

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน 

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า 

" ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ" 

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า 

"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน" 

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า 

" ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว" 

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่ 

"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ 

ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน 

พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้" 

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ 

ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน 

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ 

ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า 

" ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบา
กเช่นนี้ไป 
ได้" 

แต่ในขณะเดียวกัน 

ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ 

ใครจะรู้ได้ ....... 

วันต่อมาในตอนเช้ามืด 

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น 

และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว 

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน 

ขณะฉันกำลังหลับ 

" พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ .... 

ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่" 

ฉันนั่งอยู่บนเตียง 

อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ....... 

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป 

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี ..... 

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน 

รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ ....... 

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3 

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก 

เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า 

"มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ" 

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ??? 

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ 

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง 

..... 

ฉันถามเขาว่า 

"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ" 

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า 

"ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ 

ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี" 

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง 

และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ 

" พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง 

เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง 

เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน 

แล้วพูดว่า 

"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง" 

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด 

ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน 

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี . 

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก 

ฉันสังเกตเห็นว่า 

หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว 

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก 

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า 

"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก 

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ" 

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า 

" แม่ไม่ได้จ้างหรอก.....น้องชายลูกต่างหาก 

วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน 

ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ 

น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ" 

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา 

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ 

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม" 

ฉันถาม 

"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ 

มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด 

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ 

และ..." 

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด 

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา 

น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง 

"เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ" 

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี.... 

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง 

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเ
มืองด้วย 
กัน..... 


แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ 

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง 

แต่เมื่อออกไปแล้ว 

ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี 

จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม 

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ... 

เขาบอกกับฉันว่า 

"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแ
ม่ทางนี้ 
เอง" 

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว 

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท 

..... 

แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ 

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา 

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล 

และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด 

เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล 

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล 

น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา 

..... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า 

" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! 

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ 

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง" 

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด 

ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา 

"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน 

ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ 

คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด" 

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย ..... 

ฉันบอกกับน้องว่า 

"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..." 

"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ" 

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ 

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี... 

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี 

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน 

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า 

" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้" 

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" ..... 

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้ 

"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง 

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. 

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน 

วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง 

พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง 

และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล 

เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว 

เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น 

ผมสาบานกับตัวเอง 

ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี 

และจะทำดีกับเธอ" 

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว 

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน 

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ....... 

"ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ" 

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ 

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง... 

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวัน 

ในชีวิตของคุณและเขา 

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง 

.... ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ 

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน 

หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม 

จบบริบูรณ์.... 

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่
บริษัทฮุน ได

และ 
ในเครือกว่า 20 บริษัท 

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า 


"ซัมซุง"




สอนการ ถ่ายภาพ เบื้องต้น

เลนส์ถ่ายภาพประเภทต่างๆ


 คนที่ต้องการถ่ายภาพที่มีภาพที่แปลกตาออกไปก็ลงทุนซื้อ มาใส่ บางคนก็ซื้อ  มาใส่ บางคนต้องการประหยัดไปกว่านี้ก็ต้องซื้อ ซึ่งมีราคาแพง คนที่มีทุนน้อยก็ต้องซื้อ  ต่างจิตต่างใจและวัตถุประสงค์ของการใช้งาน บางคนก็ยอมควักกระเป๋าซื้อบางคนก็ชอบเลนส์มาใส่ บางคนก็ชอบซูมสั้นๆ บางคนก็ชอบซูมยาวๆ บางคนก็ชอบกล้อง SLR จะขายควบคู่มากับเลนส์มาตรฐาน เป็นการขายแบบไฟส์บังคับ ไม่มีการแยกขายเฉพาะบอดี้ แต่ผู้ซื้อมักจะถอดเลนส์มาตรฐานออกแล้วขายคืนให้กลับทางร้านไปในราคาถูกๆ แล้วก็ซื้อ
โอย... ทำไมมันหลายเลนส์จัง ชักจะเวียนหัวแล้ว

อย่าเพิ่งเวียนหัวนะครับ พออ่านจบแล้วจะถึงบางอ้อ ร้องอ๋อเลยเชียว
เลนส์ที่ติดมากับกล้องแต่ก่อนโน้นมีขนาดทางยาวโฟกัส 50 มม. เวลาเรายกกล้องที่ติดเลนส์นี้ส่งไปยังนางแบบที่จะถ่าย เรามองเห็นนางแบบด้วยตาเปล่าตัวโตเท่าใด  เมื่อมองผ่านเลนส์ก็มีขนาดตัวโตเท่านั้น ไม่เล็กไม่ใหญ่ ไม่ไกลไม่ใกล้ ทุกอย่างเหมือนเดิม เราสมมุติชื่อของเลนส์ตัวนี้ว่า... เลนส์มาตรฐาน ( Normal Lens ) เมื่อเราเล็งกล้องไปที่นางแบบ ถอยหลังเดินหน้าจนได้ภาพนางแบบที่กำลังพอเหมาะกับเฟรมที่จะถ่ายแล้วก็กดชัตเตอร์  เช๊ะ เรียบร้อย ได้ภาพสวยแน่ หลังจากถ่ายภาพแรกเสร็จปรากฏว่าพวกเพื่อนๆ ของนางแบบวิ่งกรูกันเข้ามาถ่ายด้วยอีก 10 คน สวยๆ กันทั้งน้าน... ทำไงล่ะคราวนี้ก็ภาพคนมันล้นจอ จะถอยหลังหรือก็จะตกน้ำหรือไม่ก็ติดกำแพง เราก็ต้องเปลี่ยนมาใช้เลนส์ที่รับภาพได้มุมกว้างๆ แบบว่าเห็นทั้งกลุ่มโดยที่เราไม่ต้องถอยหลัง เลนส์มุมกว้างนี้เมื่อมองผ่านเลนส์จะเห็นคนตัวเล็กกว่าที่มองด้วยตาเปล่าและรู้สึกว่านางแบบอยู่ไกลออกไปจากตัวเรา เราเรียกเลนส์นี้ว่าเลนส์ไวด์ ( Wide Angle Lens ) เท่านี้ก็หมดปัญหา แต่พอดีเพื่อนนางแบบหนึ่ง ในนั้นหน้าตาสวยม๊ากมากๆๆๆ ก็น่าจะแอบถ่ายภาพครึ่งตัวไว้ดูเป็นที่ระลึกสักภาพ จะทำยังไงล่ะคราวนี้ เดินเอากล้องไปจ่อใกล้ๆ หน้า เขาก็คงจะอาย คนอื่นก็คงจะแซวเราได้ว่าถ่ายแต่คนสวยคนเดียว เราก็ต้องเปลี่ยนมาใช้เลนส์ที่มีอัตราขยายมากๆ ที่ถ่ายให้เห็นหน้าโต๋โตโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวว่าเราแอบถ่ายเขาคนเดียว เลนส์ที่มีอัตราขยายมากๆ เราเรียกว่าเลนส์เทเล ( Telephoto Lens ) แต่ในความเป็นจริงคงทำได้ยากเพราะเราต้องคอยถอดเปลี่ยนเลนส์ เขาอาจจะสงสัยว่าเรากำลังทำอะไรทำไมเดี๋ยวถอดเดี๋ยวใส่ปล่อยให้นางแบบยิ้มจนเหงือกแห้งอยู่ได้ วิธีแก้ปัญหาก็คือเลือกใช้เลนส์ที่ถ่ายให้ตัวเล็กก็ได้ตัวใหญ่ก็ได้ในตัวเดียวกัน เราเรียกเลนส์ตัวนี้ว่า..ซูม ( Zoom Lens ) คราวนี้ล่ะก็นางแบบไม่รู้ตัวแน่ว่าเรากำลังแอบถ่ายเค้าคนเดียว
แต่ถ้าหากว่านางแบบคนนั้นต้องการให้เราถ่ายเฉพาะแหวนเพชรแสนสวยของเธอล่ะ  เราจะทำยังไงเพราะเลนส์ทุกอันที่บอกมาไม่สามารถขยายใหญ่เท่าที่เราต้องการได้ ก็แหวนเพชรวงเล็กนิดเดียว ดังนั้นเราก็จะต้องเลื่อนกล้องเข้าไปใกล้ๆ แหวนเพชรนั้นมากๆ จนกว่าจะได้ภาพใหญ่ตามความต้องการ เลนส์ที่จะทำให้เราเข้าไปถ่ายอย่างใกล้ๆ ได้เราเรียกว่า เลนส์ถ่ายใกล้ ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่า มาโครเลนส์ ( Macro Lens ) ราคาแพงมาก ช่างภาพมือใหม่อย่างเราจะมีตังค์ซื้อเหรอ แต่ไม่เป็นไรเราไปซื้อ Close up Lens ที่มีอัตราขยายสูงๆ เท่าที่ต้องการมาใส่หน้าเลนส์ของเราก็ได้ ก็จะทำให้เราเข้าไปถ่ายใกล้ๆ ได้เท่าที่ใจเราต้องการ ราคา 300 กว่าบาทเอง ถูกม๊ากๆ  แต่ถ้าต้องการคุณภาพที่ดีกว่าสักหน่อยก็ต้องซื้อ Extension Tube มันหลายเลนส์เหลือเกินชักงง พอเท่านี้ก่อน


วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ขนาดภาพ

ขนาดภาพ

..............การกำหนดภาพของแต่ละช็อตในการถ่ายทำภาพยนตร์สั้น มีลักษณะสำคัญเพราะเป็นการใช้กล้องโน้มน้าวชักจูงใจ ความสนใจของคนดูและเพื่อให้เกิดความหมายที่ต้องการสื่อสารกับผู้ดู ซึ่งต้องพิจารณาใช้องค์ประกอบหลายอย่างในการกำหนดภาพ เช่น ความยาวของช็อต แอ็คชั่นของผู้แสดง ระยะความสัมพันธ์ระหว่างคนดูกับผู้แสดง หรือ subject มุมมอง การเคลื่อนไหวของกล้องและผู้แสดง ตลอดจนบอกหน้าที่ของช็อตว่าทำหน้าที่อะไร เช่น แทนสายตาใคร เป็นต้น


หากเปรียบเทียบภาพที่ได้จากการชมภาพยนตร์กับละครนั้นแตกต่างกันมากมาย ในละครนั้นขึ้นอยู่กับว่าคนดูนั่งอยู่ที่ส่วนใหญ่ของโรง เช่น ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง หรือด้านบน ซึ่งจะให้ภาพและมุมมองที่แตกต่างกันออกไป ขณะที่การชมภาพยนตร์ กล้องเป็นตัวกำหนดขนาดภาพได้หลายหลาก เช่น ภาพระยะไกล (Long Shot) ระยะปานกลาง (Medium Shot) และระยะใกล้ (Close Up) เป็นต้น

การกำหนดขนาดภาพในแต่ละช็อตเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย ซึ่งต้องสอดคล้องกับความหมายที่ต้อง การสื่อ แต่อย่างไรก็ตาม ความหมายของภาพระยะใกล้และระยะไกลของผู้กำกับคนหนึ่ง อาจมีความแตก ต่างจากอีกคนหนึ่ง นอกจากนี้ การใช้ภาพต้องมีความสัมพันธ์เชื่อมต่อกันได้เป็นอย่างดี แม้แต่ภาพยนตร์กับโทรทัศน์ยังมีความแตกต่างกันอีกด้วย

โดยทั่วไปการกำหนดขนาดภาพนั้นไม่มีกฎแน่นอนที่ตายตัว ในหลักปฏิบัติแล้วมักใช้ 3 ขนาด คือ ขนาดภาพระยะไกล ระยะปานกลาง และระยะใกล้ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วเป็นขนาดเรียกกว้าง ๆ ที่เขียนไว้ในบทภาพยนตร์ ซึ่ง ใช้รูปร่างของคนเป็นตัวกำหนดขนาดของภาพ แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถแบ่งย่อยขนาดของภาพได้อีกและมีชื่อเรียกชัดเจนขึ้นดังนี้





ภาพระยะไกลมากหรือระยะไกลสุด (Extreme Long Shot / ELS) 
ได้แก่ ภาพที่ถ่ายภายนอกสถานที่โล่งแจ้ง มักเน้นพื้นที่หรือบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาล 
เมื่อเปรียบ เทียบกับสัดส่วนของมนุษย์ที่มีขนาดเล็ก ภาพ ELS ส่วนใหญ่ใช้สำหรับการเปิดฉากเพื่อบอกเวลาและสถานที่ อาจเรียกว่า Establishing Shot ก็ได้ เป็นช็อตที่แสดงความยิ่งใหญ่ของฉากหลัง หรือแสดงแสนยานุภาพของตัวละครในหนังประเภทสงครามหรือหนังประวัติศาสตร์ ส่วนช็อตที่ใช้ตามหลังมักเป็นภาพระยะไกล (LS) แต่ในภาพยนตร์หลายเรื่องใช้ภาพระยะใกล้ (CU) เปิดฉากก่อนเพื่อเป็นการเน้นเรียก        จุดสนใจหรือบีบอารมณ์คนดูให้สูงขึ้นอย่างทันทีทันใด

............................................................................
ภาพระยะไกล (Long Shot /LS) 
ภาพระยะไกล เป็นภาพที่ค่อนข้างสับสนเพราะมีขนาดที่ไม่แน่นอนตายตัว บางครั้งเรียกภาพกว้าง (Wide Shot) เวลาใช้อาจกินความตั้งแต่ภาพระยะไกลมาก (ELS) ถึงภาพระยะไกล (LS) ซึ่งเป็นภาพขนาดกว้างแต่สามารถเห็นรายละเอียดของฉากหลังและผู้แสดงมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับภาพระยะไกลมาก หรือเรียกว่า Full Shot เป็นภาพกว้างเห็นผู้แสดงเต็มตัว ตั้งแต่ศีรษะจนถึงส่วนเท้า 

ภาพระยะไกล (LS) บางครั้งนำไปใช้เปรียบเทียบเหมือนกับขนาดภาพระหว่างหนังกับละครที่คนดูมองเป็นเท่ากัน คือ สามารถเห็นแอ็คชั่นหรืออากัปกริยาของผู้แสดงเต็มตัวและชัดเจนพอ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าหนังของชาร์ลี แชปลิน (Charlie Chaplin) มักใช้ขนาดภาพนี้กับภาพปานกลาง (MS) ถ่ายทอดอารมณ์ตลกประสบความสำเร็จในหนังเงียบของเขา

............................................................................................................................................

ภาพระยะไกลปานกลาง (Medium Long Shot / MLS)
เป็นภาพที่เห็นรายละเอียดของผู้แสดงมากขึ้นตั้งแต่ศีรษะจนถึงขา หรือหัวเข่า ซึ่งบางครั้งก็เรียกว่า Knee Shot เป็นภาพที่เห็นตัวผู้แสดงเคลื่อนไหวสัมพันธ์กับฉากหลังหรือเห็นเฟอร์นิเจอร์ในฉากนั้น

....................................................................................................................................

ภาพระยะปานกลาง (Medium Shot /MS) 
ภาพระยะปานกลาง เป็นขนาดที่มีความหลากหลายและมีชื่อเรียกได้หลายชื่อเช่นเดียวกัน แต่โดยปกติจะมีขนาดประมาณตั้งแต่หนึ่งในสี่ถึงสามในสี่ของร่างกาย บางครั้งเรียกว่า Mid Shot หรือ Waist Shot ก็ได้ เป็นช็อตที่ใช้มากสุดอันหนึ่งภาพยนตร์ 

ภาพระยะปานกลางมักใช้เป็นฉากสนทนาและเห็นแอ็คชั่นของผู้แสดง นิยมใช้เชื่อมเพื่อรักษาความต่อเนื่องของภาพระยะไกล (LS) กับภาพระยะใกล้ (CU)

...............................................................................................

 ภาพระยะใกล้ปานกลาง (Medium Close-Up / MCU)
เป็นภาพแคบ คลอบคลุมบริเวณตั้งแต่ศีรษะถึงไหล่ของผู้แสดง ใช้สำหรับในฉากสนทนาที่เห็นอารมณ์ความรู้สึกที่ใบหน้า ผู้แสดงรู้สึกเด่นในเฟรม บางครั้งเรียกว่า Bust Shot มีขนาดเท่ารูปปั้นครึ่งตัว




...........................................................................................................................................................


ภาพระยะใกล้ (Close-Up / CU) 
เป็นภาพที่เห็นบริเวณศีรษะและบริเวณใบหน้าของผู้แสดง มีรายละเอียดชัดเจนขึ้น เช่น ริ้วรอยบนใบหน้า น้ำตา ส่วนใหญ่เน้นความรู้สึกของผู้แสดงที่สายตา แววตา เป็นช็อตที่นิ่งเงียบมากกว่าให้มีบทสนทนา โดยกล้องนำคนดูเข้าไปสำรวจตัวละครอย่างใกล้ชิด






........................................................................................................................................................


  ภาพระยะใกล้มาก (Extreme Close-Up /ECU หรือ XCU) 
เป็นภาพที่เน้นส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น ตา ปาก เท้า มือ เป็นต้น ภาพจะถูกขยายใหญ่บนจอ เห็นรายละเอียดมาก เป็นการเพิ่มการเล่าเรื่องในหนังให้ได้อารมณ์มากขึ้น เช่น ในช็อตของหญิงสาวเดินทางกลับบ้านคนเดียวในยามวิกาลบนถนน เราอาจใช้ภาพ ECU ด้านหลังที่หูของเธอเพื่อเป็นการบอกว่าเธอได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่ว ๆ ที่กำลังติดตามเธอ  จากนั้นอาจใช้ภาพระยะนี้ที่ตาของเธอเพื่อแสดงความหวาด กลัว เป็นช็อตที่เราคุ้นเคยกัน แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถใช้ได้ในความหมายอื่น ๆ โดยอาศัยแสงและมุมมองเพื่อหารูปแบบการใช้ให้หลากหลายออกไป 



.........................................................................................................................................................